ถามตั้งแต่ต้นปีจะได้ไม่ต้องมานั่งเจ็บใจ
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
สวัสดีครับทุกท่าน บทความที่นำมาแลกเปลี่ยนในตอนนี้ผมได้แนวคิดระหว่างที่คุยกับเพื่อนร่วมงานที่บริษัทเก่าเขามาปรับทุกข์เรื่องได้เงินโบนัสน้อยกว่าคนอื่นมาแลกเปลี่ยนครับ โดยน้ำเสียงที่เขาโทรมาเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เนื้อหาที่พูดส่วนใหญ่ วีนแตก บ่นบริษัท ตำหนิ หัวหน้า โทษเพื่อนร่วมงาน และผิดหวัง (แกคิดว่าแก ถูกหมด ทำดีอยู่คนเดียว) หลังจากที่ผมปล่อยให้เขาระบายอยู่พักใหญ่ ผมก็ค่อยๆตะล่อม ๆ คุยกับเขาอย่างใจเย็น จนเรู้สึกดีขึ้น โดยสังเกตจากน้ำเสียงที่เริ่มจะไม่วีน ไม่เหวี่ยงแล้ว และตอนก่อนจะวางสาย เขาก็ได้กล่าวขอบคุณ และบอกว่าจะนำแนวคิดที่ไปบอกกับเพื่อนคนอื่นๆด้วย ซึ่งผมขอสรุปแนวคิดที่เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ได้รับโบนัสน้อย หรือ ได้รับเงินเดือนขึ้นไม่ได้ดั่งใจ มาแลกเปลี่ยนครับ
การทำงานก็เหมือนกับการต่อยมวยบนเวที คือ ถ้าคิดว่าเราต่อยเก่ง ต่อยดี ออกหมัดเยอะกว่าคู่แข่ง แต่ต่อยไม่ค่อยเข้าเป้าที่กรรมการต้องการ ตรงข้ามกับคู่ชกของเราที่ออกหมัดน้อย แต่เข้าจุดสำคัญๆที่กรรมการกำหนด เขาจึงได้คะแนนมากกว่าแน่นอน และร้อยทั้งร้อย ผลการแข่งขันไม่มีคำว่าพลิก (ถ้ากรรมการไม่โกง หรือโดนใบสั่ง) ผู้ชนะคือ เขา และ เราแพ้ไปตามระเบียบ กลับมาหยอดน้ำข้าวต้ม เจ็บทั้งตัว และได้ของแถมคือความเจ็บใจ (แต่ได้ประสบการณ์)
สำหรับการทำงานก็คล้ายกันละครับ แต่แตกต่างกันที่ กรรมการที่จะให้คะแนนเราก็คือ หัวหน้างานของเรานั่นเอง จากเหตุการณ์ของเพื่อนของผมคนนี้ ผมจึงแนะนำเขาว่า ถ้าเรามั่วแต่นั่งโทษโน่น โทษนี่ไม่เกิดประโยชน์ เราจะทุกข์ตลอดปี และตลอดไป ทำงานก็ไม่มีความสุข เพื่อทำให้เกิดความสะบายใจมากขึ้น เขาควรหาโอกาสไปคุยกับหัวหน้างานตรงๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย โดยเขาก็บอกว่าเขา
“ก็กะว่าถ้าเปิดทำงานวันแรก เขาจะไปถามหัวหน้างานว่า
ทำไมผลการประเมินถึงได้ต่ำขนาดนี้”
แต่ผมแนะนำว่า จะดีกว่าไหม ถ้าเราลองใช้เวลาทบทวนตนเองว่าในปีที่ผ่านมาเราทำสิ่งใดที่ดี และไม่ดีบ้าง และเราจะปรับปรุงตนเองอย่างไร? จากนั้นก็ค่อยเดินเขาไปถามหัวหน้างานของเรา ด้วย 5 คำถาม ดังนี้
1. ความคิดเห็นต่อผลการปฏิบัติงานของเราเป็นอย่างไร?
2. ความคาดหวังของหัวหน้างานต่อเรามีอะไรบ้าง?
3. สิ่งใดบ้างที่เราควรปรับปรุง?
4. สิ่งใดที่เราต้องปฏิบัติในปีใหม่นี้?
5. ข้อแนะนำเพิ่มเติมเพื่อการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
จากการเปรียบเทียบผลดี ผลเสียระหว่าง คำถามแรก กับคำถามกลุ่มที่สองนี้เองที่ทำให้เขาใจเย็นลง และเริ่มที่จะตั้งสติ ซึ่งก่อนวางสายผมบอกกลับเขาว่า อยากให้เขาคิดเอาเอง ถ้ามองมุมกลับในฐานะที่เขาก็เป็นหัวหน้างาน และมีลูกน้องหลายคน อยากเห็นลูกน้องเดินเข้ามาถามคำถามแบบไหน? ไม่มีใครตอบได้ นอกจากตัวเองจริงไหมครับ เพราะต่างคน ก็ต่างความคิด แต่ถ้าคิดให้มากสักนิด คิดแบบไม่มีอารมณ์ คิดแบบมีสติ คิดให้รอบด้าน รับรองคิดได้ดีแน่นอนจริงไหมครับ?
สำหรับคำถามแรกเราจะเห็นว่าถามด้วยอารมณ์เสียไป ผลก็คือ ได้อารมณ์เสียกลับมา แต่ถ้าถามแบบกลุ่มคำถามที่สอง ถามด้วยเหตุผล ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เหตุผล และแนวทางในการปรับปรุงตนเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจในปีหน้า แถมยังจะได้ทำงานให้เข้าตากรรมการไปเลย เพราะเราถามกรรมการเลยว่าอยากได้อย่างไหน เราก็ทำตามนั้นไม่ต้องไปลองผิดลองถูกให้เสียเวลา เสียอารมณ์ทั้สองฝ่ายจริงไหมครับ? ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ ช่วงต้นปีอย่างนี้เหมาะเลย หาเวลาว่างๆ หัวหน้างานอารมณ์ดีๆ แล้วไปคุยกับเขาด้วยเหตุ และผล รับรองได้เลยครับว่าท่านจะได้แนวทางในการปฏิบัติที่ดีๆ ตลอดปีนี้แน่นอนครับ แต่ถ้าจะไปถามตอนปลายปีแล้วละก็อาจจะต้องมานั่งเจ็บใจ เพราะทำงานไม่เขาตากรรมการก็เป็นได้นะครับ
สุดท้ายขอฝากคมคิด สะกิดใจว่า “คิดดีๆ คิดเยอะๆ คิดลึกๆ คิดนานๆ คิดให้รอบด้าน คือ ภูมิต้านทานความล้มเหลว และผิดหวัง” โชคดีนะครับ
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ www.bt-training.com ครับ