ขอร้องเถอะ..... อย่าเยอะ.....
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook:BT-Corporation
สวัสดีครับทุกท่าน บทความตอนนี้มีชื่อว่า นักปราชญ์ซื้อลา เปลี่ยนกระดาษ 3 ครา กลับไร้อักษร “ลา”
ผมได้แนวคิดระหว่างที่อ่านหนังสือ “คำจีน เขียนชีวิต” มาชวนอ่าน ชวนขำ และชวนคิด ครับ เรื่องราวก็มีดังนี้
นักปราชญ์ท่านหนึ่ง เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถมาก โดยเขาสามารถจดจำตำหรับ ตำรา ปรัชญาคำสอน ได้แทบทุกบรรทัด และเขามักจะโอ้อวด ความรู้ กับคนอื่นเสมอ อยู่มาวันหนึ่ง ลาของเขาได้ตายลง เขาจึงไปตลาดเพื่อหาซื้อลาตัวใหม่ ซึ่งเจ้าของลาก็เสนอให้ปราชญ์ท่านนี้เป็นคนเขียนหนังสือสัญญา ซึ่งเข้าทางของปราชญ์ท่านนี้พอดีเป๊ะ เขาจึงบรรจงประดิษฐ์ ประดอย แต่งคำพูด ในหนังสือสัญญาอย่างสละ สลวย โดยเขียนไปประมาณ 3 หน้ากระดาษ ซึ่งก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง
เมื่อเขียนเสร็จสรรพ เจ้าของลาก็ขอร้องให้ปราชญ์ท่านนี้อ่านให้ฟัง ซึ่งก็เข้าทางเขาอีกนั่นหละครับ เขาจึงเก็กหล่อเต็มที่ จากนั้นก็ยืนอ่านหนังสือสัญญาเสียงดังลั่นตลาด เพราะต้องการอวดความรู้ให้คนที่เดินผ่านมาผ่านไปได้เห็น ซึ่งก็เข้าทางเขาอีกนั่นละครับ ชาวบ้านที่ ผ่านมา ผ่านไป ก็ให้ความสนใจ แล้วหยุด มุงดู กว่าจะอ่านจบเวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน ซึ่งเจ้าของลารู้สึกเบื่อที่ต้องทนรอฟัง จึงถามปราญช์ท่านนี้ว่า
“หนังสือสัญญา 3 หน้ากระดาษ ไม่เห็นมีคำว่าลาเลยแม้แต่คำเดียวล่ะท่าน
จริงๆแล้วท่านเพียงแค่เขียนในสัญญาว่า ข้าขายลาให้กับท่านเป็นราคาเท่าใด
และข้าก็ได้รับเงินเรียบร้อยแล้วแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะท่าน”
เท่านั้นละครับ คนทั้งตลาดที่ยืนมุงดู ก็ร้องฮือ... และเห็นด้วยกับชายขายลาคนนั้น ..... นิทานเรื่องนี้ จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ชายขายลา” จนถึงปัจจุบันนั่นเอง ต้องขอขอบพระคุณ ดวงพร วงศ์ชูเครือ ที่เรียบเรียงเนื้อหาดีๆ และสำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ ที่ผลิตผลงานดีๆ ที่มีให้เราอ่าน และได้ศึกษานะครับ จากสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ครับ
เรามานำประเด็นของคำสอนเรื่องนี้มาพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร (communication skill) กันนะครับ
ท่านเคยเห็นคนประเภทนี้บ้างไหม?
ประเภทที่ 1 พูดเยอะ แต่หาเนื้อหาสาระที่จะเอามาเป็นประโยชน์ไม่ได้เลย (ประเภทนี้ไม่ต้องการอวดอ้างตนเอง แต่ไม่มีความรู้เรื่องการพูดจริงๆ) เช่น เวลาจะพูดอะไร ก็ยกตัวอย่าง ชักแม่น้ำทั้ง 500 สาย แต่ไม่สามารถสรุปประเด็นอะไรได้เลย จนทำให้ ก่อนพูด กับหลังพูด ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย หรือแย่กว่านั้น หลังพูด ยิ่งทำให้คนงง และสับสนมากขึ้นกว่าอีก ซึ่งผมก็เคยเป็นมาก่อน ซึ่งผมขอแนะนำหลักง่ายๆ เพื่อช่วยในการพัฒนาการพูดให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น ซึ่งผมชอบใช้คือ 5W&2H ซึ่งประกอบด้วย What? ทำอะไรล่ะ Who? ใครล่ะ When? เมื่อไหร่ล่ะ Where? ที่ไหนล่ะ Why? ทำไมล่ะ How? อย่างไรบ้างล่ะ และ How much? เท่าไหร่ล่ะ ซึ่ง Keyword นี้ใช้ได้ทุกอย่าง จากตัวอย่างปราชญ์ซื้อลา สรุปสัญญาง่าย ไม่ต้องเยอะ จากนิทานเรื่องนี้ ถ้าเราจะเขียนหนังสือสัญญา ก็จะได้ดังนี้
วันที่ 25/2/2559 เวลา 11.00 น. ที่ร้านขายของชำ ในตลาดกวางสี นาย ก (ผู้ขาย) ได้ขาย ลา (ตามรูป วาดรูปรายละเอียดของลา) ให้นาย ข (ผู้ซื้อ) ราคา 100 ตำลึง และนาย ข ได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เซ็นต์ชื่อ พร้อมตราประทับ แค่นี้ก็จบ ไม่เห็นต้องไปยืดยาดให้เสียเวลา
ประเภทที่ 2 พูดเยอะ สาระมากไป เพราะต้องการโชว์ โอ้อวด สรรพคุณ ความรู้ ความสามารถตนเอง คนประเภทนี้ก็เหมือนกับปราญช์ ซื้อลานั่นละครับ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ สักวันต้องพลาด และเสียท่า ไม่วันใด ก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน (ถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ รีบแก้ไขตนเองนะครับ)
สุดท้าย ขอฝากคมคิดสะกิดใจที่ว่า “ทำอะไรแต่พอดี ชีวีจะมีสุข แต่ถ้าทำอะไรเกินพอดี ชีวีก็จะมีแต่ทุกข์” โชคดีนะครับ.....
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com ครับ