Easy 7QC Tools เครื่องมือที่ 4 ฮีสโตแกรม (Histogram) (ตอนที่ 2)
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation
*************************************************************************************************************************
สวัสดีครับทุกท่าน บทความในตอนที่แล้วเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ฮีสโตแกรม และการกระจายของข้อมูลกันไปแล้วนะครับ สำหรับตอนนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการจัดทำฮีสโตแกรม ด้วยวิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลงดงาม พร้อมแล้วเริ่มศึกษากันเลยนะครับ
ขั้นตอนการส้ราง ฮีสโตแกรม มีดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลที่เราสนใจ เช่น น้ำหนักของสินค้าที่บรรจุ ความหนาของการชุบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ความยาวของสกรู เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นค่าที่วัดออกมาได้เป็นตัวเลข โดยรวบรวมให้ได้อย่างน้อย 50 ถึง 100 ข้อมูล เช่น รสุ่มชั่งน้ำหนักของกล่องบรรจุอาหารแมวจำนวน 10 วัน วันละ 10 กล่อง รวมข้อมูลที่ได้ทั้งสิ้น 100 ข้อมูล
2. หาค่าที่น้อยที่สุด และมากที่สุดจากข้อมูลทั้งหมด ตัวอย่าง ได้ค่าต่ำสุดเท่ากับ 8.00 และค่าสูงที่สุดเท่ากับ 12.00
3. หาผลต่างระหว่างค่าสูงสุด และค่าต่ำสุด ซึ่งเราเรียกว่า “ค่าพิสัย (range)” จากตัวอย่างเท่ากับ 5.0 (12.00 – 8.00)
4. หาจำนวนชั้น (ส่วนใหญ่จะประมาณ 6-25 ชั้น) ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่ 1. วิธีคำนวนโดยใช้สูตร จำนวนชั้น = 1+3.3 log10N 2. กำหนดเลยว่า 10 ชั้น ซึ่งวิธี หลังนี้ก็ง่ายดีนะครับ ไม่ต้องคำนวนให้ยุ่งยาก
5. หาความกว้างของแต่ละชั้น
ได้จากสูตร จำนวนชั้น = (ค่าสูงสุด – ค่าต่ำสุด) ÷ จำนวนชั้น จากตัวอย่าง จำนวนชั้น = (12.0 - 8.0) ÷ 10 = 0.5
6. สร้างตารางความถี่ บันทึกข้อมูลในแต่ละช่อง และรวบรวมความถี่ที่มีในแต่ละช่วง (ตารางซ้ายมือ) ถ้าหากเราพิจารณาคร่าวๆ ตามคะแนนความถี่ในแต่ละช่อง จะเห็นภาพฮีสโตแกรมในลักษณะแนวนอนได้อย่างชัดเจน
7. จัดทำตารางฮีสโตแกรมให้ส่วยงาม และใส่เส้นระฆังคว่ำเพื่อทำให้ทราบแนวโน้มของข้อมูล (รูปขวามือ) ซึ่งจากตัวอย่างจะเห็นว่า ข้อมูลมีแนวโน้มที่จะมีค่าต่ำกว่า 10 ซึ่งจากข้อมูลนี้เราก็จะสามารถนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาที่ทำให้น้ำหนักของสินค้าที่บรรจุมีแนวโน้มไปในช่วงน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน และเราจะได้นำไปแก้ไขต่อไป
ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ฮีสโตแกรมจะมีหลายลักษณะเช่น การกระจายที่ดี การกระจายที่อยู่นอกเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งต่ำกว่า หรือสูงกว่า การกระจายแบบภูเขา 2 ยอด การกระจายแบบฟันเลี่อย หรือลักษณะผาชัน ซึ่งการกระจายของแต่ละลักษณะนั้น จะบ่งบอกถึงสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราจะนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดนั้นไปใช้ประกอบการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไปครับ
นี่เป็นวิธีการสร้างฮีสโตแกรมแบบ ที่ไม่ต้องยุ่งกับการคำนวนมากมายอะไร ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยชอบการคำนวนนะครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องมือนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านอย่างแน่นอน ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ และถ้าหากมีข้อสงสัย หรือต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติม สามารถส่งอีเมลล์มาพูดคุยกันได้นะครับ.....
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com
Facebook/fanpage: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation