ผู้นำ กับ การสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของงานของผู้ตาม
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation
******************************************************************************************************
สวัสดีครับทุกท่าน บทความในตอนนี้ผมได้แนวคิดมาจากการไปบรรยาย หลักสูตร การบริหารทีมอย่างสร้างสรรค์ (Creative Team Building) และจิตสำนึกความเป็นเจ้าของงานให้กับหลายองค์การ (Sense of Belonging and Ownership) เรามาเรียนรู้จากกรณีศึกษากันนะครับ
การที่ได้นำความรู้ ความสามารถ และศักยภาพด้านต่างๆ ที่มีอยู่ในตนเองออกมาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ คือ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พนักงานมีความสุข และรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของงาน และรักในงานที่ทำ ซึ่งแน่นอนผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ งานออกมาดี มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายที่องค์การตั้งไว้ เกิดความสามัคคี และการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับพนักงาน และองค์การ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า มีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่า
“ฉันใช้คนได้เหมาะสมกับงานแล้วจริงๆแล้วหรือไม่?”
นี่คือคำถามสั้นๆ แต่คำตอนนั้นยาว ที่หัวหน้างาน หรือผู้บริหารทุกคนต้องตอบให้ได้ (อย่าตอบแบบเข้าข้างตัวเองนะครับ) เรื่องการใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ผมขอนำกรณีศึกษาจากหนังสือชื่อ “คำจีนเขียนชีวิต” ซึ่งเรียบเรียงโดย ดวงพร วงศ์ชูเครือ ของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งผมประทับใจมากๆ เริ่มอ่านเลยนะครับ
ซินชี่จี๋ ผู้มีความรักชาติ และความรู้ความสามารถ ทั้งด้านการรบ และกวี ได้อาสาเข้าร่วมต่อสู้กับศัตรูจนผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่นานเขาก็ได้ทำงานในราชสำนัก ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหาร ในแถบหูเป่ย เจียงซี และหูหนาน หลายปี แต่แล้วก็ถูกข้าศึกโจมตีจนต้องหนีไปซ่อนตัวอยู่ถึง 18 ปี ณ ริมทะเลสาบได้ เมืองเชียงเหรา จนปี ค.ศ. 1203 เขาได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารแห่งเมืองเจ้อเจียงตะวันออก ควบตำแหน่งเจ้าเมืองเส้าชิง ซึ่งที่นี่เขามักจะสนทนากับกวีผู้รักชาตินามว่า ลู่โหยว อยู่เสมอ และในฤดูใบไม้ผลิในปีต่อมา ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ให้ไปเข้าเฝ้าเพื่อสอบถามเกี่ยวกับแคว้นจิน โดยก่อนออกเดินทาง ลู่โหยวได้เขียนกวีให้กับเขาบทหนึ่ง สรุปความได้ว่า
“ขุนนางตงฉิน มีความรู้ ความสามารถเป็นเลิศมากมาย
กลับได้เป็นเพียงที่ปรึกษาทางทหาร ซึ่งใช้ความสามารถเพียงน้อยนิดเท่านั้น”
และหลังจากเข้าเฝ้าแล้วฮ่องเต้ก็มีบัญชาให้เขาเป็นเพียงเจ้าเมืองเจิ้นเจียง และไม่นานเขาก็ล้มเป่วย และตรอมใจตายในที่สุด สุภาษิตนี้เตือนใจเราว่า “ความสามารถมาก แต่ได้ใช้เพียงน้อยนิด อาจทำให้เกิดความเสียหายได้”
จากบทเรียนเรื่องนี้ ถ้าหากย้อนกลับมาในที่ทำงานของเรา แล้วลองมาทบทวนดูว่า ในฐานะที่เราเป็นหัวหน้า ลูกน้องของเราแต่ละคน มีความรู้ ความสามารถ และศักยภาพด้านใดบ้าง และเราจะทำอย่างไร? ให้ลูกน้องแต่ละคนได้แสดงออก หรือนำศักยภาพที่พวกเขามีอยู่มาใช้อย่างเต็มที่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเขาเอง และองค์การ ซึ่งผมขอแนะนำเทคนิคการค้นหาศักยภาพของพนักงานที่ผมเคยใช้แล้วได้ผลมาแลกเปลี่ยนดังนี้
1. หาเวลาพูดคุยกับพนักงานทุกคน ทุกระดับ ตั้งแต่พนักงานระดับปฏิบัติการ หัวหน้างาน ผู้ช่วยผู้จัดการ (ทุกคนที่เป็นลูกน้องเรานั่นละครับ) โดยเรื่องที่จะพูดคุยกัน คือ เรื่องการทำงาน เรื่องความสนใจ ความสามารถ และความต้องการในการปฏิบัติงานของพนักงาน ซึ่งสิ่งที่เราได้ คือ
· ทราบว่าพนักงานแต่ละคนมีความรู้สึกอย่างไรกับการปฏิบัติงาน
· ทราบว่าเขามีความสามารถด้านใด ชอบทำงานลักษณะใด เช่น ชอบทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ชอบทำงานเอกสาร ชอบทำงานประเภทตรวจสอบ เป็นต้น
· ทำให้เราได้ทราบจุดอ่อน จุดแข็ง และความต้องการในการปฏิบัติงานของพนักงานแต่ละคน
2. บันทึกรายละเอียดต่างๆ โดยผมจะจัดทำรูปแบบเอกสาร พนักงานคนละ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นแฟ้มลับ ประวัติส่วนตัวของพนักงาน
3. ปรับแผนการปฏิบัติงาน เช่น จัดพนักงานให้เหมาะสมกับงาน ย้ายพนักงานเพื่อให้ได้เรียนรู้งานที่ตนสนใจ หรือย้ายพนักงานไปทำงานในตำแหน่งที่เขาถนัดมากกว่า
4. นำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนพัฒนาพนักงานรายบุคคล (IDP: Individual Development Plan)
ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ อาจเสียเวลาหน่อย แต่สิ่งที่เราจะได้นั้นคุ้มค่าจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงาน ทำให้เขารู้สึกว่าเราให้ความสนใจพวกเขา และเราเข้าหาง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรให้เยิ่นเย้อแล้ว ยังทำให้เราสามารถปรับให้พนักงานได้ทำงานที่ตนเองมีความถนัด สนใจ หรืออยากที่จะทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พนักงานเกิดความรัก ความผูกพัน กับงาน และองค์การนั่นเอง ขอฝากคมคิดสะกิดใจว่า “การทำงานที่เรารัก ก็เหมือนกับการที่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก คือ ถ้าเรารักในสิ่งนั้นแล้ว เราก็จะอยากจะอยู่กับสิ่งนั้นๆ ไปนานๆ และไม่อยากจะห่างจากสิ่งนั้นแม้แต่วินาทีเดียว ตรงกันข้าม ถ้าหากเราเกลียดสิ่งใดเข้าแล้วละก็ แม้แต่เสี้ยว ของเสี้ยววินาที เราก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย และอยากจะหนีไปให้ไกลแสนไกลที่สุด...” จริงไหมครับ?
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com
Facebook/fanpage: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation