คนดีที่ ขงจื้อ และโลกยกย่อง
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: Thongpunchang Pongvarin , BT CORPORATION CO., LTD. , Thongpunchang
สวัสดีครับทุกท่าน บทความตอนนี้ผมขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “คนดี” โดยได้แนวคิดมากจากการอ่านหนังสือ “ขงจื้อ ลัทธิ และภาษิตคำสอน” ซึ่งรวบรวมโดย โมทยากร ของสำนักพิมพ์พทยาคาร ซึ่งผมได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าเจ้าประจำของผมครับเรามาเริ่มอ่านกันเลยนะครับ
ขงจื้อได้กล่าวถึงคนดี ซึ่งสรุปใจความสั้นๆว่า
“คนดี เกิดจากธรรมชาติรวมกับศิลปะ”
ธรรมชาติ ท่านหมายถึง สิ่งปกติที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้มีการแต่งเติม หรือเสริมสร้างสิ่งใดๆ เข้าไป ส่วนศิลปะ นั้นก็คือ การเพิ่มเติม เสริมแต่ง หรือมีการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติให้ดีขึ้นนั่นเอง และแน่นอนการแต่งเติมใดๆ ก็ย่อมจะมีทั้งชอบ ไม่ชอบ และรู้สึกเฉยๆ สำหรับการแต่งเติมสิ่งใดเข้าไปนั้นก็ขึ้นอยู่ความชอบส่วนบุคคล หรือกลุ่มคนนั้นๆ ซึ่ง ท่านขงขงจื้อได้เปรียบเทียบความสมดุลย์ของธรรมชาติ กับศิลปะ กับเรื่องการปลูกต้นไม้ไว้อย่างน่าประทับใจ โดยอธิบายว่า
ถ้าหากเราปลูกต้นไม้ไปตามธรรมชาติอาจต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะออกผลให้ได้ลิ้มรส แต่ถ้าเรามีศิลปะ (การเติมเพิ่มจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติ) เช่น การใช้ปุ๋ย หรือให้ยาเร่งผล อาจใช้เวลาเพียงแค่ปีครึ่งก็ได้รับประทานแล้ว จากตัวอย่างจะเห็นว่า ถ้าปลูกต้นไม้แบบปล่อยให้ท่านเทวดาดูแล ต้องใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงสูงที่ต้นไม้จะตายเสียก่อน แต่ถ้าเราหวังให้ออกผลเร็วมากเกินไป โดยใส่ปุ๋ย เร่งยาเกินกำลังที่ต้นไม้จะรับไหว สุดท้าย ต้นไม้ก็ตายแน่ๆ จริงไหมครับ นี่ละครับคือหลักสมดุลย์ที่ท่านขงจื้อแนะนำ
ถ้าหากเรามาลองนำหลักคำสอนของท่าน มาเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในยุคที่อะไรๆ ก็ 4.0 กัน ก็จะพบว่า ธรรมชาติ หมายถึง การที่มนุษย์เราต้องดูแลร่างกาย โดย รับประทานที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกาย ดูแลจิตใจให้แจ่มใส่ คือ คุณธรรม จริยธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ส่วนเรื่องศิลปะ ใช้ความรู้ที่เราร่ำเรียนมา หรือเทคโนโลยี วิทยากรด้านต่างๆ ที่มีอยู่ในยุค 4.0 ให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม และสมดุลย์ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นคนดีได้ครับ ดั้งนั้นจึงสรุปได้ว่าถ้าคนใดรู้จักใช้ศิลปะ ซึ่งก็คือการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น มาใช้ผสมผสานกับธรรมชาติที่มีอยู่ได้อย่างลงตัวแล้วละก็ อย่างนี้ท่านขงจื้อจึงจะเรียกว่าเป็นคนดีนั่นเอง นอกจากนี้แล้วท่านยังได้ให้
แง่คิดอีกว่า
“ถ้ามนุษย์ขาดมนุษยธรรมแล้วก็ไม่ใช่คนดี”
จากแนวคิดเรื่องคนดีของท่านขงจื้อ เราสามารถสรุปได้ว่า ควรนำความรู้ และเทคโนโลยีที่มีอยู่ มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติ หรือลักษณะการใช้ชีวิตที่เป็นปกติ คือ ไม่เร่งรีบ มากจนทำให้เครียดเกินไป หรือไม่ก็ เอื่อยเฉื่อย จนหย่อนยาน ปล่อยชีวิตไปตามยัตถากรรม ทำอะไรก็ไม่ทันชาวบ้านเขา หรือที่เขาชอบพูดกันว่า สโลว์ ไลฟ์ ทั้งๆ ที่มีงานรออยู่ตั้งมากมายเป็นดินพอกหางหมู อย่างนี้มันก็ธรรมชาติเกินไปนะครับ นอกจากนี้เรายังต้องให้ความสำคัญกับหลักการมนุษยธรรม คุณธรรม จริยธรรม โดยไม่ไม่นำความรู้ หรือเทคโนโลยีมาหาช่องทาง เพื่อแสวงหาโอกาสในการโกงกิน ทุจริต คอรัปชั่น หาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือพวกพ้อง ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อย่างนี้ขงจื้อไม่เรียกว่าคนดีแน่นอนจริงไหมครับ? นอกจากนี้แล้วในหลักของพระพุทธศาสนาและทุกๆศาสนาซึ่งได้สอนให้เราเป็นคนดี ทำความดี ยังได้ให้ลักษณะของคนดี ซึ่งได้แก่
1. เป็นคนมีศีล คือ ไม่รบกวนผู้อื่นให้เดือนร้อน ไม่มุ่งทำลายชีวิตคนอื่น ไม่เป็นนักเลง ไม่ประพฤติผิดทั้งปวง
2. มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ไม่เห็นผิดเป็นชอบ
3. ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม
4. รักษาคำพูด พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ไม่เจรจาเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้
5. ทำธุระหน้าที่ของตนได้จริง
หากพวกเราทุกคนทำได้ตามคำสอนของท่านขงจื้อ และตามหลักศาสนาที่เรานับถือแล้วละก็ รับลองได้เลยครับว่าสังคมจะน่าอยู่มากขึ้นแน่นอนจริงไหมครับ? สุดท้ายของฝากคมคิดสะกิดใจว่า “คิดดีๆ ทำดีๆ ใช้ชีวีอย่างสมดุลย์ ผลลัพธ์ก็ย่อมออกมาดี ตัวเราก็มีความสุขอย่างแน่นอน” เราทุกคนมาร่วมมือร่วมใจ ทำความดีให้โลกเห็น เพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัวเรา เพื่อสังคมของเรา เพื่อประเทศไทยของเรา และเพื่อถวายความจงรักภักดี แด่ในหลวงรัชการที่ ๙ ที่สถิตอยู่ในดวงใจของพวกเราทุกคน ทำเลยนะครับ ผมก็จะทำเหมือนกัน...
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com/