ผู้บริหารที่ทรงประสิทธิผล ตามแนวคิดของ ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: BT CORPORATION CO., LTD. , Thongpunchang Pongvarin
**********************************************************************************************************************
ผมได้มีโอกาสไปบรรยายหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหาร และหัวหน้างานหลายครั้ง โดยระหว่างการบรรยายผมมักจะถ่ายทอดประสบการณ์ในสมัยที่เคยทำงาน โดยผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “The Effective Executive” หรือ ผู้บริหารที่ทรงประสิทธิผล ของบริษัท ยูบีซีแอล บุ๊คส์ จำกัด ที่เขียนโดย PETER F. DRUCKER กูรูด้านการจัดการ ซึ่งเป็นนักเขียนในดวงใจของผม โดยผมขอนำแนวคิดของท่านมาแลกเปลี่ยนเรามาเรียนรู้ร่วมกันเลยนะครับ
ในแต่ละวันผู้บริหารนั้นต้องทำงานหลายบทบาททั้งผู้บริหาร หัวหน้า พี่ ครู ที่ปรึกษา รวมไปถึงเป็นผู้ตรวจสอบซึ่งแน่นอนละครับการทำงานหลายๆ อย่างนั้นอาจทำให้เราหลงลืมเป้าหมายหลักของการทำงานของเราไปจนทำให้เป้าหมายหลัก หรือภาพรวมในการทำงานของเรานั้นตกไป เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวผมขอนำเคล็ดลับที่มีชื่อว่า “ปัจจัยของผู้บริหารทรงประสิทธิผล” ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 8 ประการ ดังนี้
1. เขาถามว่า “ต้องบรรลุอะไรบ้าง” เพื่อทำให้เราได้ทบทวนตัวเองและลงมือทำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ ซึ่งจะตรงข้ามกับคำถามที่ว่า “ฉันอยากจะทำอะไร” นะครับ ตัวอย่างเป้าหมายที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องบรรลุได้แก่ ยอดขาย กำไร และการเติบโต ความพึงพอใจของลูกค้า ส่วนแบ่งการตลาด ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน อัตราการเพิ่มผลผลิต เป็นต้น ซึ่งถ้าหากเราทบทวนเป้าหมายเล่านี้ทุกเช้าก่อนเริ่มทำงานก็จะช่วยทำให้เราจัดลำดับความสำคัญของงาน และสามารถเลือกงานที่จะทำในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
2. เขาถามว่า “อะไรเหมาะกับองค์กร” เพื่อทำให้สามารถตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติในสิ่งที่เหมาะสม และเกิดความคุ้มค่าที่สุด โดยจะพิจารณาความเหมาะสมในด้าน ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่ได้รับ ผลตอบแทนจากการลงทุน ความสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับธุรกิจ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ต้องเป็นประโยชน์กับองค์กร ยกตัวอย่างเช่น บริษัทของเราผลิตของเล่นเด็กที่ทำจากไม้ มีพนักงานประมาณ 40 คน ยอดขายไม่สูงมาก มีของเสียประมาณ 0.5% ถ้าหากเราต้องการจะลดของเสียเราอาจจะเลือกกิจกรรมคิวซีซี หรือการใช้กิจกรรมข้อเสนอแนะ และใช้หลักสถิติเบื้องต้นมาใช้ก็เพียงพอ และเหมาะสมกว่าการที่เราจะนำระบบ Six Sigma ทั้งระบบมาใช้ เพราะเนื่องมาจากเราเป็นแค่โรงงานเล็กๆ สินค้าก็ไม่ได้มีความละเอียดมาก กระบวนการผลิตก็ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน
3. เขาพัฒนาแผนการปฏิบัติการ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ โดยจะเขียนแผนการอย่างรอบคอบ ซึ่งจะต้องพิจาณาเป้าหมายหลัก เป้าหมายรอง ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น คน เครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักร วัตถุดิบ สภาพแวดล้อม ระบบ การสื่อสาร การประสานงาน การควบคุม และติดตามงาน การรายงาน ควบคุม และประเมินผล (แต่ไม่เข้าไปก้าวก่าย หรือล้วงลูกนะครับ) โดยแผนงานที่จัดทำขึ้นนั้นควรได้รับการยอมรับจากสมาชิกในทีมทุกคน หรือส่วนใหญ่ และเพื่อทำให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ นอกจากนี้ในระหว่างที่ลงมือทำ จะคอยเข้าไปให้คำแนะนำ กระตุ้น จูงใจ และให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม เพื่อทำให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามที่เราฝันไว้
4. เขารับผิดชอบในการตัดสินใจ โดยจะมีวิธีการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ (ไม่มั่ว) ได้แก่ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์โอกาส อุปสรรค ผลกระทบ ประเมินทางเลือก ตัดสินใจ ติดตามผล และทบทวนการตัดสินใจ
5. เขารับผิดชอบในการสื่อสาร โดยเรียนรู้ที่จะเลือกวิธีการติดต่อสื่อสาร กับบุคคลต่างใน ในแต่ละระดับอย่างเหมาะสม เพื่อทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว ไม่ผิดพลาด ทั้งผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติ
6. เขามุ่งเน้นเป้าหมายไปที่โอกาส ไม่ใช่ปัญหา โดยจะมองไปที่เป้าหมาย และนำปัจจัยที่มีอยู่ ณ ขณะนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อมาพัฒนาการปฏิบัติงานให้ดีขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับผู้บริหารที่มองแต่ปัญหา ซึ่งมักจะโทษโน่น โทษนี่ มองแต่ข้อจำกัด มองแต่ว่า เราทำไม่ได้เพราะเราขาดปัจจัย เราไม่พร้อม เป็นต้น
7. เขาดำเนินการประชุมที่สร้างผลผลิต โดยจะรู้ว่า “การประชุมครั้งหนึ่งๆ จะต้องสร้างผลผลิต ไม่เช่นนั้นก็เป็นการเสียเวลาเปล่า” ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ของการประชุม และเน้นไปที่การหาข้อสรุป และผลลัพธ์ โดยจะมีทักษะในการดำเนินการประชุม ได้แก่ การนำเสนอ ตั้งคำถาม การแสดงความคิดเห็น การสรุปข้อมูล การกระตุ้นผู้เข้าร่วมประชุมให้พูด และสามารถตัดสินใจเพื่อหาข้อสรุป รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศในการประชุม ซึ่งตรงกันข้ามกับการชุมไปเพื่อมาพูดคุย หรือนำเสนอข้อมูล แต่ไม่สามารถสรุปประเด็นอะไรได้เลย ซึ่งเป็นการเสียเวลา
8. เขาคิด และพูดว่า “เรา” ไม่ใช่ “ฉัน” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงานที่เป็นกันเอง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงให้เกียรติ และเป็นพื้นฐานของการทำงานเป็นทีม
จากแนวคิดทั้ง 8 ข้อ ทำให้เราทราบถึง สิ่งที่เราควรปฏิบัติ โดย แนวคิดข้อที่ 1 และ 2 ทำให้เรา “รู้ว่า เราต้องทำอะไร” แนวคิดข้อที่ 3 4 5 และ 6 ทำให้เรา “เปลี่ยนความรู้ไปเป็นการปฏิบัติที่ทรงประสิทธิผลได้อย่างไร” และข้อที่ 7 และ 8 ทำให้เรา “แสดงออกถึงความรับผิดชอบ และความสามารถที่มีของเรา” ถ้าหากเราหมั่นทบทวน 8 แนวคิด ของผู้บริหารที่ทรงประสิทธิผล อย่างนี้ทุกวันก่อนเริ่มงานแล้วละก็ผมเชื่อมั่นว่าท่านจะต้องประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารที่ทรงประสิทธิผลสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอนครับ สุดท้ายขอฝากคมคิดสะกิดใจที่กล่าวโดย Vidal Sassoon นักออกแบบทรงผมชาวอังกฤษ ที่ว่า “มีที่เดียวที่คำว่า “Success” มาก่อน “Work” คือ ในปาทานุกรมเท่านั้น” โชคดีนะครับ
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Www.bt-training.com ครับ