เรื่องจริงที่ต้องรู้ เมื่อผู้นำให้โอกาส กับคนที่ไม่ค่อยมีโอกาส
โดย ดร.ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์
Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340 facebook: BT CORPORATION CO., LTD.
***************************************************************************************
ความทรงจำที่ดีในครั้งนั้น เกิดขึ้นกับผมเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนตั้งแต่สมัยยังเป็นหัวหน้างานฝ่ายผลิต แต่ผมไม่เคยลืม
วันนั้นผมสัมภาษณ์งานไปเกือบสามชั่วโมงก็สัมภาษณ์เสร็จ แต่ก่อนที่ผมจะออกจากห้องสัมภาษณ์ มีผู้เข้ารับการสัมภาษณ์คนหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้เลือกเธอแล้ว เดินเข้ามา พร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วพูดว่า
“พี่คะ พี่ช่วยรับเพื่อนหนูเข้าทำงานอีกคนไม่ได้เหรอคะ ถ้าพี่รับหนู แต่ไม่รับเพื่อนหนู หนูทั้งสองคนก็คงทำงานที่นี่ไม่ได้เพราะเราเดินทางมาด้วยกันน่ะค่ะ”
ผมขมวดคิ้ว ด้วยความสงสัย และรู้สึกงงนิดๆ แล้วก็ถามเธอกลับไปว่า
“ทำไมหรือครับ ไหนช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยซิ”
ทั้งสองคนทำตาแดงๆ เหมือนคนจะร้องไห้ แล้วเล่าว่า
“หนูสองคน โดนบริษัทเก่าจ้างออก เพราะเขาเลิกกิจการ ซึ่งหนูสองคนทำงานที่นั่นตั้งแต่เรียนจบ ม.3 และไม่คิดว่าจะลาออกไปไหน หนูสองคนทำหน้าที่เย็บผ้า ซึ่งถ้าเขาไม่จ้างออกหนูก็คงไม่คิดจะออกแน่” น้องผู้หญิงคนแรกเล่า จบ เพื่อนอีกคนหนึ่ง ก็พูดเสริมขึ้นทันทีว่า
“พี่คะส่วนหนูสอบไม่ผ่านจากฝ่ายบุคคล เพราะเขาบอกว่าหนูตัวเตี้ยมากกว่าคนทั่วไป คงจะทำงานที่นี่ไม่ได้แน่ ซึ่งหนูก็ยอมรับว่าร่างกายหนูมันผิดปกติจริง แต่ถึงแม้ร่างกายหนูมันจะไม่เหมือนกับคนอื่นทั่วไป แต่การทำงานของหนูไม่ต่างกับคนอื่นนะคะ แถมหนูยังทำงานได้ดีกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำ ไม่เชื่อพี่ลองดูใบประกาศนี่ก็ได้” พูดจบเธอก็หยิบใบประกาศจากบริษัทเก่าว่า เป็นพนักงานดีเด่น ทำงานมาสิบกว่าปี ไม่เคยขาดงาน ไม่เคยลาป่วย และไม่เคยมาทำงานสายเลย
ระหว่างที่ผมกำลังพิจารณาใบประกาศนั้น น้องท่านนี้ก็ยกมือไหว้ผม แล้วพูดว่า
“พี่จะให้หนูนำงานในตำแหน่งไหนก็ได้ หนูทำได้หมด รับรอง หนูจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเป็นแน่หนูรับรองจะไม่ทำให้พี่เสียชื่อแน่นอน”
พูดจบเพื่อนของเธอก็ยกมือไหว้ผมด้วยอีกคน จากนั้นก็พูดเสริมว่า
“พี่คะ พี่ช่วยรับหนูสองคนเถอะนะคะ เพราะถ้าพี่รับหนู แต่ไม่รับเพื่อนหนู หนูก็ทำงานที่นี่ไม่ได้ เพราะหนูต้องขี่มอเตอร์ไซด์พาเพื่อนไปสัมภาษณ์งานด้วยกัน เพราะถ้าหนูไม่พาไป เพื่อนหนูก็ไปเองไม่ได้” หลังจากที่น้องท่านนี้พูดจบ น้องที่ร่างกายผิดปกติก็พูดต่อว่า
“พี่คะ พี่ช่วยรับหนูสองคนเข้าไปก่อนเถอะนะ แล้วถ้าพวกหนูสองคนทำงานได้ไม่ดี หรือสร้างปัญหา พี่ก็ค่อยให้หนูสองคนไม่ผ่านทดลองงานก็ได้”
หลังจากที่ฟังคำขอร้องของน้องทั้งสอง ผมก็เอามือลูบหน้าตนเอง จากนั้นก็ถอนหายใจยาว แล้วพูดตอบกลับไปว่า
“ผมก็ไม่เคยรู้จักน้องสองคนมาก่อน และก็ไม่รู้ว่าน้องทั้งสองคนทำงานเป็นยังไงด้วย แต่ถ้าน้องสัญญาว่าจะช่วยผมทำงานให้ดีที่สุด ผมก็จะช่วยน้องทั้งสองคน แต่ผมขอย้ำนะว่า ผมเป็นคนตั้งใจทำงาน ถ้าไม่ตั้งใจทำงานแล้วละก็ ผมไม่ให้ผ่านทดลองงานแน่”
หลังจากพูดจบผมก็บอกให้น้องทั้งสองคนนั่งรอ จากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปปรึกษากับผู้จัดการฝ่ายบุคคลทันที
ระหว่างที่รอสาย ในหัวผมก็คิดว่า
“เราจะเอาชื่อเสียงของเรามาทิ้งไว้กับเด็กสองคนนี้เลยหรือไงเนี้ยะ
ถ้าเขาทำไม่ดี เราก็มีแต่เสียกับเสีย
ถ้าฝ่ายบุคคลไม่รับ แต่เราดันจะรับเขาเข้ามาทำงาน จะผิดไหมเนี้ย
และถ้าเกิดฝ่ายบุคคลไม่เล่นด้วย เราไม่เสียเหรอ
ยิ่งคิดยิ่งเครียด...”
หลังจากที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลรับสายแล้ว ผมก็เริ่มอธิบายรายละเอียด และสิ่งที่ผมตัดสินใจ จากนั้นก็ขอร้องให้เขาช่วย ผู้จัดการฝ่ายบุคคลท่านใจดีมาก ท่านตอบกลับมาว่า
“ถ้าคุณทองคิดว่าน้องเขาทำได้จริงๆ ผมก็ไม่มีปัญหา
เพราะคุณทองมีความรู้ในเนื้องานดีกว่าผมมาก
ซึ่งใครเหมาะสมที่จะทำอะไรผมว่าคุณทองรู้ดีกว่าผมเยอะ
ถ้าคุณทองแน่ใจก็ส่งรายชื่อให้ผมได้เลย ผมยินดีช่วย”
ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบตอบขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ รีบแจ้งผลการทำงานให้กับน้องเขาได้ทราบ
หลังจากที่ผมได้แจ้งผลการสัมภาษณ์ว่าผมจะรับทั้งสองคนเข้าทำงานแล้ว น้องทั้งสองคนยกมือไหว้ผมเป็นการใหญ่ พร้อมกับกล่าวขอบคุณอยู่หลายครั้ง ในวันนั้นเองก่อนที่น้องทั้งสองคนจะกลับบ้านผมก็พูดกับเขาว่า
“อย่าลืมสัญญาระหว่างเรานะ ต้องทำงานให้ดีที่สุด อย่าทำให้ตนเอง และผมเสียชื่อเป็นอันขาด”
ไม่นานนักน้องทั้งสองคนก็เข้ามาทำงานกับผม ซึ่งการทำงานของเธอทั้งสองถือว่าดีเยี่ยม เพราะทั้งสองคนตั้งใจทำงานมาก ใครสอนอะไร ก็จดบันทึกเอาไว้อ่าน เรียนรู้งานไวมากๆ ทำงานล่วงเวลา วันหยุด เสาร์อาทิตย์ ปีใหม่ สงกรานต์ ไม่เคยบ่น ทำหมด แถมใครขอร้องให้มาทำงานล่วงเวลาแทนก็มา ไม่เคยอิดออด ทั้งสองคนนี้เป็นที่เลื่องลือมาก โดยเฉพาะน้องที่ตัวเล็ก ด้วยความขยัน อดทัน และตั้งใจในการทำงานของน้องคนนี้ เพื่อนๆ จึงตั้งฉายาให้กับเธอว่า “จิ๋ว แต่ แจ๋ว” และเธอก็เป็นขวัญใจของเพื่อนร่วมงาน และตัวผมด้วยตลอดที่เราทำงานอยู่ด้วยกัน
จนวันที่ผมลาออกจากบริษัทนั้น วันสุดท้ายของการทำงานน้องทั้งสองคนก็มาหาผมที่โต๊ะทำงานแล้วพูดความในใจว่า
“พี่ทอง หนูสองคนขอบพระคุณพี่มากที่ให้โอกาสหนู พวกหนูสองคนจำคำสัญญาที่พวกหนูสองคนให้ไว้กับพี่ทองได้ ว่า จะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้พี่ทองเสียชื่อ หนูขอสัญญากับพี่ทองว่า หนูสองคนจะตั้งใจทำงานใด้ดีแบบนี้ตลอดไป พวกหนูสองคนขอบคุณพี่ทองค่ะ”
ผมซาบซึ้งใจมากจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ว่าแม้จะผ่านไปเกือบสองปี ที่ผม และน้องสองคนนี้ทำงานงานมาด้วยกัน แต่เขายังไม่เคยลืมคำสัญญาในวันที่เราสัมภาษณ์งานเลย วันนั้นผมพูดกับตนเองเลยว่าผมจะตั้งใจทำงานให้เหมือนกับน้องทั้งสองคนเหมือนกัน
นี่คือครั้งหนึ่งในชีวิตของผมที่เคยทำงานกับผู้ที่ใครๆ มองว่า ไม่น่าจะทำงานได้ แต่การให้โอกาสคน ในการพิจสูจน์ตนเองนี้เองที่ทำให้เพื่อนร่วมงาน และสังคมยอมรับ จนเป็นตัวอย่างที่น่ายกย่อง ซึ่งดีกว่าพนักงานบางคนที่มีร่างกายปกติ แต่ไม่ตั้งใจทำงาน หรือทำงานไม่เต็ม แถมยังชอบเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก จริงไหมครับ สุดท้ายขอฝากคมคิดสะกิดใจสั้นๆว่า “ถ้าเราเปิดใจ และให้โอกาส อย่างบริสุทธ์ใจกับผู้อื่นแล้วละก็ เราก็จะได้รับความจริงใจ และโอกาสดีๆ กลับมาอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม ถ้าเราปิดกั้นตนเอง ไม่ให้โอกาสผู้อื่น หรือทำไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจแล้วละก็ ปัญหาต่างๆ ก็จะค่อยๆ คืบคลาน เข้ามาหาเราอย่างแน่นอน ไม่ช้า ก็เร็ว” โชคดีนะครับ
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Www.bt-training.com ครับ