เมื่อลูกสาว สอนวิชาโค้ช (coaching) ให้กับพ่อ
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation
**********************************************************************************************
สวัสดีครับทุกท่าน บทความตอนนี้ขอนำเสนอเรื่องใกล้ตัวมาแลกเปลี่ยนผ่านหลักการโค้ช เรามาเรีมเรียนรู้กันเลยนะครับ
เมื่อวานก่อนขณะที่ผมกำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ระหว่างที่รถติดไฟแดง ผมก็หันหน้าไปมองลูกสาวที่กำลังกินขนมอยู่อย่าง เอร็ดอร่อย ผมก็ปล่อยให้เธอกินไปเรื่อยๆ หมด ซึ่งก็ถึงหน้าประตูโรงเรียนพอดี และเมื่อก่อนที่จะออกจากรถเพื่อเดินไปเข้าโรงเรียน ผมก็สังเกตว่า บริเวณรอบๆ ปากของเธอเลอะคราบขนม ผมจึงไม่รอช้ารีบเทน้ำใส่ผ้าอ้อม เพื่อที่จะเช็ดปากให้ลูกสาว การเรียนรู้จึงเกิดขึ้น
“ลูกมาเช็ดปากให้สะอาดก่อนนะ ปากเลอะอย่างนี้ดูไม่เรียบร้อยนะลูก” ผมพูด ขณะที่เอื้อมมือซ้ายไปจับหัวลูกสาว ส่วนมือขวาก็พยายามนำผ้าที่เปียกนั้นมาเช็ด
“ไม่เอา ไม่ยอม หน้าหนูไม่เห็นสกปรกสักหน่อย ไม่เอาๆ” ลูกสาวผมร้องงอแง ไม่ยอมให้ผมเช็ดหน้า
“เช็ดเถอะลูก เชื่อพ่อเถอะนะ หน้าลูกจะได้สะอาด เรียบร้อยยังไง หน้าเลอะเทอะแบบนี้ไม่นี้นะลูก มาๆ มาให้พ่อเช็ดซะดีๆ”
ผมพยายามพูดอย่างใจเย็นเป็นครั้งที่สอง แต่ลูกสาวผมก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม ผมจึงรู้สึกว่าถ้าทำแบบนี้ต่อไป สงสัยต้องมีการบังคับกันเกิดขึ้น ซึ่งผลก็คือ อาจทำให้เสียเวลาทั้งผม และลูก และนอกจากนี้อาจต้องมีการใช้มาตรการรุนแรงมากขึ้น จากสองครั้งแรก
พอตั้งสติได้ ผมจึงเปลี่ยนวิธีการจัดการกับปัญหานี้ โดยผมหยุดพูด ทำให้ความเงียบเกิดขึ้นทันที จากนั้นก็ดึงที่บังแดดด้านบนใกล้กับกระจกหน้ารถที่ติดกับหลังคาในตำแหน่งข้างคนขับลง จากนั้นก็เปิดแผ่นพลาสติกที่บังกระจกขึ้น แล้วก็ปรับให้กระจกอยู่ในตำแหน่งที่ลูกสาวสามารถมองเห็นหน้าตัวเองได้อย่างชัดเจน หลังจากที่เธอะเห็นว่าปากของเธอมีรอยขนมอยู่ เธอก็ยื่นมือมาหยิบผ้าที่ผมเตรียมไว้ไปเช็ดปากทันทีจนสะอาด แล้วก็ยังหันมาถามผมอีกว่า “แบบนี้ไปโรงเรียนได้หรือยังคะคุณพ่อ”
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้นึกถึงเรื่อง จุดเริ่มต้นของการโค้ช (coaching) ว่า การที่คนเราจะแนะนำ หรือสอนผู้อื่นเพื่อให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการกระทำเรื่องใดสักเรื่องนั้น ควรเริ่มจากการที่ผู้ถูกโค้ช (coaches) ยอมรับในสิ่งที่ตัวของเขาเป็นก่อน ถ้าเขายอมรับแล้วละก็ กระบวนการเปลี่ยนแปลงก็จะเริ่มต้นขึ้น และจากนั้นก็จะค่อยๆ เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในลำดับต่อๆ ไป จนเขาพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นๆ ตามที่เรา และขาตั้งเป้าหมายเอาไว้ เหมือนกับที่ผมให้ลูกสาวมองดูปากที่เลอะของเธอเองในกระจก และเธอก็ยอมรับว่ามันสกปรกจริงๆ จากนั้นเธอก็เช็ดปากของเธอเอง ซึ่งผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ก็คือปากของเธอสะอาด ไม่เลอะเทอะอีกแล้ว และพ่อกับลูก ไม่ต้องเสียเวลา และอารมณ์กันทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ตรงกันข้าม ถ้าผมไม่สามารถทำให้ลูกสาวยอมรับว่าปากของเธอสกปรก เธอยังยืนยันว่าเธอจะเดินเข้าห้องเรียนทั้งๆ ที่ปากยังเลอะอยู่ ส่วนผมก็ยืนยันว่าผมยอมรับไม่ได้ที่ปากลูกเลอะอย่างนั้น ผมอายคนอื่น เดี๋ยวเขาจะหาว่าดูแลลูกไม่ดี จากนั้นผมก็เริ่มพยายามบังคับ ขู่เข็น ทวีการใช้อารมณ์มากขึ้น ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คงหนีไม่พ้นการลงไม้ ลงมือเป็นแน่จริงไหมครับ?
ตัวอย่างการการโค้ชพนักงานฝ่ายผลิต ที่ปฏิบัติงานผิดพลาด เราก็ต้องทำให้เขายอมรับก่อนว่าความผิดพลาดนั้นเกิดจากการปฏิบัติงานที่ผิดพลาด เช่น การป้อนชิ้นงานผิด การปรับเครื่องจักรผิด หรือการใช้วัตถุดิบที่ผิดประเภท ซึ่งเขาเป็นคนทำ เมื่อเขายอมรับว่าเขาทำ เราก็จะค่อยๆ สอนวิธีการแก้ไข และป้องกันปัญหาในขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าหากพนักงานยังไม่ยอมรับ ยืนยัน นอนยัน เอาหัวชนฝา และไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาทำผิด แล้วละก็ เราก็ต้องพยายามหาหลักฐาน และรายละเอียดต่างๆ เช่น บันทึกการปฏิบัติงาน รายงานการผลิต รายงานการใช้วัตถุดิบ รายงานการใช้เครื่องจักร เป็นต้น มาแสดงให้เขาได้เห็น จนเขายอมรับให้ได้ อย่ายอมแพ้ อย่าถอดใจ ต้องทำจุดนี้ให้ได้ เพราะถ้าทำให้เขายอมรับไม่ได้ ต่อให้สอนงาน แนะนำงาน หรือใช้เทคนิคการโค้ชขั้นสูง ก็คงไม่ได้ผลอะไรจริงไหมครับ
สรุปเหตุการณ์นี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ลูกสาวสอนผมว่า “การโค้ช ที่ดี ควรเริ่มจากการยอมรับ ไม่ใช่บังคับ เพราะถ้าเริ่มต้นการโค้ชด้วยการยอมรับแล้วละก็ ความสำเร็จในการโค้ชก็อยู่แค่เอื้อมมือเท่านั้นเอง” โชคดีครับ
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com
Facebook/fanpage: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation