เร็วกว่าเพื่ออะไร?
เขียนโดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340 www.bt-training.com
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับบทความตอนนี้ ได้แนวคิดมาจากการที่ได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ แล้วเห็นเหตุการณ์การทะเลาะวิวาท บนท้องถนน แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ผมจำได้ว่าสมัยผมเด็กๆ ไม่ค่อยได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ แต่เด็กสมัยนี้กลับได้เห็นข่าวอาชญากรรม และการใช้ความรุนแรง แทบทุกวัน บางวันก็มีหลายเหตุการณ์ ผมเลยนั่งคิดเล่นๆ เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ (ผมด้วยครับ) มักจะให้ความสำคัญกับความเร็ว เช่น
1. ต้องการรู้เรื่องราวข่าวสารเร็วๆ เช่น เหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ
2. ต้องการผลลัพธ์เร็วๆ เช่น การทำงาน หรือการประชุมในที่ทำงาน
3. ต้องการไปถึงที่หมายเร็วๆ เช่น ขับรถไปทำงาน หรือไปเที่ยว
ผลก็คือ ผมเริ่มเครียด และหงุดหงิดง่ายมากกว่าเดิม ผมคงเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วหละ
“เราจะเร็วไปเพื่ออะไร และช้ากว่าจะเสียหายไหม?”
นี่เป็นคำถามหลังจากที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ไม่ต้องฉลาด ก็มองเห็นโอกาสมากกว่าคนอื่น” ซึ่งเขียนโดย โคมิยะ คาสุโยชิ สำนักพิมพ์ WE LEARN และหนังสือ เรื่องสติ ใครว่ายาก คำอธิบายสติ และการปฏิบัติธรรมด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย (Mindfulness in Pain) ซึ่งเขียนโดย ภันเต คุณะรัตนา มหาเถระ และแปลโดย นัยนา นาควัชระ สำนักพิมพ์มูนิธิโกมลคีมทอง ซึ่งผมก็ค่อยเปลี่ยนคำถามทั้งสามใหม่ดังนี้
1. เป็นเรื่องที่สำคัญกับเราหรือไม่ เราจะรู้ไปทำไม ทำไมต้องรู้ ไม่รู้ได้ไหม และรู้ช้ากว่าได้ไหม? ผลที่เกิดขึ้นคือ ผมดูทีวี และสนใจข่าวสารตามกระแสน้อยลง และรู้เฉพาะเรื่องที่สำคัญ ๆ กับชีวิต ผลก็คือ มีเวลาอยู่กับครอบครัว และตัวเอง ได้อ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น มีเวลาเขียนบทความมากขึ้น ใจก็นิ่ง
2. ทำไมต้องไปเร็วกว่าคนอื่น ช้ากว่านี้ได้ไหม และถ้าช้ากว่าเดิมจะเสียหายอะไรไหม? ผลที่เกิดขึ้นคือ ผมมีสติ ไม่เร่งรีบ ทำอะไรช้าลงกว่าเดิม (แต่ไม่อืดอาด ยืดยาด และไม่ขี้เกียจนะครับ) รู้จักที่จะฟัง และคิดตามความเห็นของผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ได้เห็นกริยาท่าทาง การแสดงออก รวมไปถึงการใช้ชีวิต ของคนรอบๆตัวเรามากขึ้นกว่าเดิม (เขาทำเหมือนเดิม แต่แต่ก่อนเราไม่เคยดูเอง) ซึ่งทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้นด้วยละครับ
3. ช้าเร็วก็ถึงเหมือนกัน ให้คนอื่นแซงไปก่อน คงไปเป็นไร ไม่เสียเงิน ไม่เสียอารมณ์ ไม่เกิดอุบัติเหตุ เพราะเรามีลูก ต้องใจเย็นๆ ผลที่เกิดขึ้นคือ ผมขับรถสบายใจมากขึ้น ใครจะแซงอะไรก็ปล่อยเขาไป คิดว่าถนนไม่ใช่ของเรา เป็นของทุกคน เวลารถติด ก็มองคนขายพวงมาลัย มองร้านค้า มองคนขับรถข้างๆ เรา ได้เห็นแม่ค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ได้อ่านป้ายโฆษณาที่เราไม่เคยสนใจ ทำให้รู้ว่าเขาก็มีของที่เราต้องการขายตรงนี้ด้วย (ขายตั้งนานแล้ว เราไม่เคยสนใจจะอ่านเอง)
สำหรับบทความนี้เป็นเพียงแนวคิด และการปฏิบัติของผมเองครับ ซึ่งผลลัพธ์รวมสุดท้ายที่ผมได้คือ ความสุขกาย และสบายใจ มีสติ มีสมาธิมากยิ่งขึ้น รู้ว่าอะไรควรทำ เราก็ทำ และอะไรที่ไม่ควรทำ เราก็เลิกทำ โดยเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ กับตัวของเรา ครอบครัวของเรา สังคมของเรา และเพื่อนร่วมประเทศ ร่วมโลกของเราครับ ตอนนี้อาการหยุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่ายก็ค่อยๆหายไป (แต่ก็มีบ้างบางครั้ง) คนรอบข้าง และคนในครอบครัวก็พลอยมีความสุขไปด้วยที่เห็นผมเปลี่ยนนิสัยเป็นแบบนี้ เทคนิคนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ผมขอเชิญชวนให้ลองนำไปใช้ดูนะครับ .....