แนวคิด ที่ทำให้ หัวหน้า กลายเป็นผู้จัดการ ในระยะเวลาสามปีครึ่ง
โดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ Email:tpongvarin@yahoo.com Mobile:089-8118340
facebook: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation
**************************************************************
เรื่องราวของชายสามคนที่ผมนำมาแลกเปลี่ยนในตอนนี้ ได้แนวคิดมาจากบทความที่เขียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในตอนที่ว่า ขงเบ้ง สอน 7 ข้อ “เปลี่ยนคนธรรมดา ให้กลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่” เรามาเรียนรู้เทคนิคการพัฒนตนเองจากหัวหน้างานธรรมดา จนกลายมาเป็นผู้จัดการ ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีครึ่ง กันนะครับ
ที่ร้านส้มตำเจ้าประจำหน้าสวนอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง สามคนเพื่อนรัก เหน่ง โหน่ง และหน่อง ซึ่งทั้งสามคนเกิดคนละวัน แต่ให้สัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป นัดมาคุยกันฉลองความสำเร็จของเพื่อน
“เฮ้ย!!! ไอ้โหน่ง ไอ้หน่อง เอ็งจำได้ไหมว่า เมื่อประมาณสามปีก่อนเราก็นัดมากินส้มตำกันที่ร้านนี้ และไอ้โหน่งมันก็ทะลึ่งพูดขึ้นมาว่า อีก 5 ปีข้างหน้ามันจะต้องเป็นผู้จัดการให้ได้ และจะมีเงินเดือนมากกว่าเดิมอย่างน้อยสองเท่า แล้วพวกเราก็ยังพูดแซวมันว่า ไอ้คุณโหน่ง ไอ้บ้า ไอ้คุณทะเยอทะยาน ไอ้จอมเพ้อเจอ ไอ้คนเพ้อฝัน เอ็งไม่มีวันทำได้หรอก”
“จำได้ซิว๊ะ” โหน่ง และหน่องตอบรับ จากนั้น หน่องก็พูดเสริมว่า
“ใช่ และข้าก็จะได้ว่า เอ็งบอกว่า ถ้ามันเป็นผู้จัดการ เอ็งจะแก้ผ้า นุ่งกางเกงในตัวเดียววิ่งรอบโรงงาน เอ็งจำได้ไหมว๊ะไอ้เหน่ง” ทั้งสามคนหัวเราะ แล้วเหน่งก็รีบพูดสวนทันทีว่า
“ไอ้สัญญง สัญญา บ้าบอ อันนี้ข้าลืมหมดแล้ว...” เหน่งรีบกลบเกลื่อน จานั้นก็พูดต่อว่า
“ว่าแต่ไอ้โหน่ง เอ็งนี่มันอัจริยะจริงๆ ว่ะ ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีครึ่ง เอ็งเปลี่ยนสถานะจากหัวหน้างานในไลน์ มาเป็นผู้จัดการนั่งโต๊ะ เอ็งทำได้ยังไงวะ แนะนำพวกข้าบ้างซิ?”
“ได้เพื่อน ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนรักกัน ข้าจะบอกความลับที่ทำให้ข้าประสบความสำเร็จให้พวกเอ็งฟัง เคล็ดลับของข้ามีอยู่ 3 ข้อ
1. ข้าเชื่อว่าข้าทำได้ ทำได้จริงๆ ตอนนั้นที่ข้าบอกว่าข้าทำได้ เอ็งก็ไม่เชื่อ แถมมาหาว่าข้าเพ้อเจ้ออีก
2. ประเมินตนเอง หาช่องว่าง แล้วพัฒนาให้สูงขึ้น โดยข้าก็ค่อยๆ ศึกษาดูว่าคนที่เป็นผู้จัดการต้องทำงานอะไรบ้าง ความรู้ ทักษะอะไรที่ต้องมี แล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเอง เช่น ผู้จัดการส่วนใหญ่จบปริญญาโท ข้าก็ไปเรียนต่อปริญญาโท ผู้จัดการส่วนใหญ่ ใช้คอมพิวเตอร์คล่อง ข้าก็ไปซื้อคอมมาฝึกฝน ส่วนภาษาอังกฤษ ก็ต้อง ฟัง พูด อ่าน เขียน และนำเสนอ ได้อย่างไม่ติดขัด ข้าก็ฝึกเอาตาม Youtube มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น พอสนทนาได้ไม่ติดขัดให้อายคนอื่น และ
3. เอาชนะความอยาก ด้วยความอยาก คือ เวลาที่อยากนอน อยากดูบอล อยากเล่นเกมส์ อยากไปเที่ยว ข้าก็จะนึกถึงว่า ข้าอยากเป็นผู้จัดการ ถ้าเป็นผู้จัดการ มีเงินเดือนเยอะๆ คงจะเท่ไม่น้อย ข้าอยากประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม อยากประสบความสำเร็จๆ อดทนแป๊บเดียว เดี๋ยวเป็นผู้จัดการแล้ว จะไปเที่ยวที่ไหน จะดูบอล ดูหนัง เมื่อไหร่ คราวนี้ไม่ต้องเครียดแล้ว มีเงิน มีทองเยอะว่าเดิมอีกด้วย นี่แหละ 3 เทคนิคของข้า”
หลังจากที่ทั้งสองคนฟังจบ ทั้งสองคนก็ยื่นมือมาจับมือของโหน่ง แล้วพูดว่า
“ยินดีกับความสำเร็จของเอ็งด้วยเพื่อน เอ็งสมควรได้รับตำแหน่งนี้ เพราะข้าสองเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการใช้ชีวิต ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอ็งมาตลอด ซึ่งข้าก็แอบชื่นชมอยู่ในใจ แต่เสียดาย ข้าสองคนมันไม่ทำตามเอ็งบ้าง ถ้าข้าทำตามเอ็ง ป่านนี้ข้าคงตำแหน่งใหญ่กว่าเอ็งไปนานแล้ว” พูดจบ ทั้งสามคนก็หัวเราะ แล้วก็กินส้มตำ ลาบ น้ำตก กันจนอิ่มแปร่แล้วก็แยกย้างกันกลับหอ...........
นี่คือเรื่องจริง แต่ตัวละครสมมติ ที่ผมเคยประสบมา จึงอยากนำมาแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อย ๆในการพัฒนาตนเอง ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ สุดท้าย ขอฝากคมคิดสะกิดใจ จากหนังสือ คำคม (จัดพิมพ์โดย บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งทางบริษัทส่งมาให้ผม ขอกราบขอบพระคุณครับ) ที่ว่า “ไม่มีความมุ่งมาดปรารถนาอันยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีอัจฉริยะที่ยิ่ง No great aspiration, no great genius. โชคดีครับ .....
ท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ www.bt-training.com
Facebook/fanpage: Thongpunchang Pongvarin , BT-Corporation